เที่ยวญี่ปุ่นภูมิภาคไหนก็อบอุ่นหัวใจ ไหนใครกำลังมีแพลนเที่ยว จ.ชิซึโอกะ กันอยู่บ้างไหม? ถ้าได้แวะเวียนมาเมื่อไหร่ อยากแนะนำให้ลองมาเที่ยวที่ย่านชุเซ็นจิอนเซ็น (Shuzenji Onsen) ตั้งอยู่บนภูเขาใจกลางคาบสมุทรอิซุ (Izu Peninsula) เพราะสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงบ ธรรมชาติ ลำน้ำ ป่าเขา แถมยังมีที่พักที่น่าสนใจอีกหลายที่ หนึ่งในนั้นคือ ยูไรโระ คิกุยะ (Yukairo Kikuya) เรียวกังแบบฉบับญี่ปุ่นแท้ๆ ที่เพียบพร้อมด้วยการบริการสุดพิถีพิถัน ที่เราอยากขอหยิบยกมารีวิวกันในบทความนี้ ปล. บทความนี้รูปอาจจะเยอะหน่อยค่ะ เพราะอยากแบ่งปันประสบการณ์กันแบบสุดๆ
โดยส่วนใหญ่แล้วจะแช่ออนเซนกันครั้งละประมาณ 15-20 นาทีละ ส่วนตัวเราเองทนได้ประมาณ 10 กว่านาทีเท่านั้นค่ะ 5555 กว่าจะลงไปแช่ได้ทั้งตัวลำบากแทบแย่เหมือนกันเพราะน้ำร้อนเอาเรื่องเลยทีเดียว ส่วนใครที่เคอะเขินว่าต้องล่อนจ้อนกลางธรรมชาติแบบนี้จะมีคนเห็นไหม รับรองเลยว่าเป็นมุมอับไม่มีใครมองเห็นแน่นอน หลังจากแช่เสร็จแล้วก็ล้างตัว เปลี่ยนชุด กลับไปนอนพักกันต่อ
ดื่มกาแฟเสร็จแล้วก็มาต่อกันที่มื้อเช้า (กินอีกแล้วจ้า 555) ห้องอาหารมื้อเช้าที่เราได้จะแยกเป็นอีกห้องค่ะ เป็นห้องอาหารที่ถูกตกแต่งเป็นสไตล์ญี่ปุ่น ส่วนอาหารเช้าจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ เซตอาหารญี่ปุ่น และเซตอาหารเช้าแบบฝรั่ง เราเลือกมาทั้ง 2 เซต
ปิดท้ายด้วยโยเกิร์ต สังเกตจากหลายๆ ที่พักมา คนญี่ปุ่นจะนิยมกินโยเกิร์ตกันในมื้อเช้ากันเป็นส่วนใหญ่เลยละ หรือนี่จะเป็นหนึ่งในเคล็ดลับสุขภาพดีของเขาด้วยนะ น่าสนใจสุดๆ
วิธีเดินทางไป ยูไรโระ คิกุยะ (Yukairo Kikuya) ย่านชุเซ็นจิอนเซ็น
การเดินทางให้นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Shuzenji (ถ้าใครเดินทางมาจาก Tokyo สามารถนั่งรถไฟ Odoriko for Shuzenji แบบยิงยาวมาได้เลย) เดินออกจากสถานี (ฝั่งที่มี 7-11) ให้เลี้ยวซ้ายเพื่อรอคิวที่ป้ายรถบัสหมายเลข 1 แล้วลงป้ายสุดท้าย (รอบรถจะเริ่มวิ่งตั้งแต่ช่วง 6 โมงเช้าไปจนถึง 1 ทุ่มครึ่ง) เรียวกัง Yukairo Kikuya จะอยู่ตรงข้ามกับป้ายรถบัส
Yukairo Kikuya สามารถเช็กอินได้ตั้งแต่ช่วง 15.00 น. ซึ่งทางโรงแรมมีบริการรับฝากกระเป๋าเผื่อใครอยากเดินเที่ยวละแวกใกล้ๆ ก่อนได้ บรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่การเข้าโรงแรมเลยละ ด้านหน้าของโรงแรมจะเป็นล็อกเกอร์สำหรับฝากรองเท้า โดยให้เราใส่รองเท้าที่โรงแรมจัดให้ แล้วเอารองเท้าของเราใส่ตู้ล็อกเกอร์ จากนั้นล็อกกุญแจและนำกุญแจติดตัวเราไปได้เลย ซึ่งการใช้รองเท้าเฉพาะของโรงแรมทำให้ดูแลเรื่องความสะอาดได้ดี พื้นรองแรมเงาวับเปลี่ยนรองเท้าเสร็จแล้วก็เดินเข้ามาที่โซนเช็กอินได้เลย โซนนี้ตั้งอยู่บนสะพานที่วางคร่อมแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านโรงแรม ทำให้การเช็กอินของเราเต็มไปด้วยบรรยากาศที่สวยงามมากๆ โดยทางโรงแรมจะให้เราเขียนรายละเอียดต่างๆ เพิ่มอีกเล็กน้อย ก่อนจะให้เราแจ้งเวลาสำหรับทานมื้อเย็น (เลือกได้ว่าจะทานตอน 17.00 น. หรือ 19.30 น.) เมื่อลงรายละเอียดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รับกุญแจแล้วเดินเข้าห้องได้เลยแผ่นพับที่ทางโรงแรมมอบให้ ในนี้จะแสดงรายละเอียดต่างๆ เอาไว้อย่างครบถ้วน ทั้ง map ของโรงแรม รวมถึงบริการต่างๆ ที่มี ได้แก่- ห้องกาแฟ (ชั้น 1) เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง
- ร้านราเมง (ชั้น 1) เปิดให้บริการราเมงตอน 22.00-23.00 น. สามารถไปทานฟรีได้
- ร้านขายของฝาก (ชั้น 1) เปิดตั้งแต่ 09.00-22.00 น.
- ห้องนวด มี 2 แบบคือ นวดทั้งตัวกับการนวดเท้าแบบญี่ปุ่น (ต้องจองคิวกับทาง Reception และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
- บ่อแช่ออนเซ็นรวม เปิด 2 ช่วง ช่วงเช้า 05.00-10.00 น. และช่วงบ่าย 15.00-01.00 น.
- บ่อแช่ออนเซ็นส่วนตัว เปิดตลอด 24 ชั่วโมง (ทำความสะอาดห้อง 11.00-14.00 น.) ถ้าห้องว่างสามารถเข้าใช้บริการได้เลย โดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาในห้องนี้ประมาณ 40 นาที
- ห้องอาหาร (ชั้น 1) สำหรับทานอาหารเย็นและอาหารเช้า
- ห้องสูบบุหรี่ (Smoking Room) สำหรับสูบบุหรี่โดยเฉพาะ (อยู่ติดกับห้องแช่ออนเซ็นแบบไพรเวท)
- มีโซนเครื่องดื่มทานฟรี ทั้งน้ำอัดลม ชา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (มีเวลาเปิดปิด)
- มีตู้ทำน้ำแข็ง ตู้ไอศกรีม ไว้บริการภายในเรียวกัง
สไตล์ห้องพักจะมีประมาณ 4-5 แบบค่ะ โดยแบบที่เราจองมาจะเป็น ห้อง Japanese Style Room without View and with Hot Spring Bath ซึ่งจะต้องเดินเข้ามสะพานแขวนสีแดงกลางโรงแรมเพื่อเข้าห้องพัก (ทางเข้าสะพานนี้จะถูกสงวนไว้เฉพาะคนที่จองห้อวงพัก Type นี้เท่านั้น)
มาพูดถึงตัวห้องกันบ้างค่ะ ด้วยความที่เป็นโรงแรมห่างเมืองใหญ่ มีพื้นที่สำหรับบริการเยอะ ห้องแต่ละห้องจึงกว้างมากเป็นพิเศษ โดยห้อง Japanese Style Room without View and with Hot Spring Bath ที่เราจองมา ราคาจะอยู่ที่ 48,808 เยน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 10,700 บาท/คืน ในห้องมีเตียงเดี่ยว 2 เตียง มีวิวระเบียงที่ติดกับแม่น้ำกลางโรงแรมเอาไว้สูดบรรยากาศแสนสดชื่นได้แบบเต็มปอด ถ้าเราเปิดประตูกระจกออกไปจะได้ยินเสียงน้ำไหลชัดเจนมากๆ แต่เมื่อปิดกระจกให้สนิทก็จะเหลือเพียงเสียงน้ำแค่เบาๆ เท่านั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อการนอนหลับเลยละ
สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องบอกเลยว่าจัดเต็ม มีครบตั้งแต่ตูเย็น กาน้ำร้อน ชุดชงชา กาแฟ ผ้าขนหนู (มี 2 เซต สำหรับใช้ในห้องออนเซนอีก 1 เซต) ไดร์เป่าผม เครื่องทำความชื้น อุปกรณ์จำเป็นสำหรับอาบน้ำ ส่วนโซนห้องน้ำมีการแบ่งโซนออกจากกันชัดเจนมาก
โซนล้างหน้า แยกอยู่โซนกลางห้อง ตรงนี้จะมีพวกครีม โฟมล้างหน้า ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ล้างมือ ผ้าเช็ดมือ เอาไว้ครบครัน
ถัดมาจะเป็นโซนอาบน้ำแบบฝักบัว มีสบู่ ยาสระผม ครีมนวดผม ไว้ให้ ส่วนน้ำมีทั้งน้ำเย็นและน้ำอุ่น โซนนี้มีเอาไว้เพื่อล้างเนื้อล้างตัวก่อนจะเข้าไปแช่ออนเซ็นส่วนตัวในห้องด้วย
และส่วนนี้ก็แบบว่าดีสุดๆ ห้องที่เราจองมาจะมีบ่อแช่ออนเซนเล็กๆ หลังห้องด้วย ขนาดไม่เล็กเกินไปสามารถลงแช่พร้อมกันได้ 2 คน มีปุ่มเติมน้ำร้อนและก๊อกน้ำอุณหภูมิปกติเพื่อให้เราปรับระดับความร้อนของน้ำได้ตามใจชอบ ใครชอบแช่น้ำร้อนบอกเลยว่าฟินสุดๆ
ตรงส่วนกลางจะมีเครื่องดื่มและขนมต่าง เอาไว้บริการด้วยค่ะ บางจุดจะมีน้ำแข็ง ไอศกรีม น้ำอัดลม น้ำเปล่า ให้เราได้ทานตามชอบด้วย แนะนำว่าแช่น้ำร้อนเสร็จแล้วมาทานไอศกรีมแท่งที่นี่จะยิ่งสดชื่น
โซนกลาง (ชั้นเดียวกับเคาน์เตอร์เช็กอิน) ตรงนี้จะมีตู้กดน้ำด้วยค่ะ มีทั้งน้ำชา น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไฮบอล กดแล้วสามารถไปนั่งดื่มที่ระเบียงใกล้ๆ กันได้
ฝั่งตรงข้ามเครื่องกดน้ำ จะมีร้านขายของฝากอยู่ด้วย มีทั้งของฝากยอดนิยมทั่วไปและของฝากแบบท้องถิ่นเรียกว่าครบครันดีสุดๆ ร้านเปิดตั้งแต่ 09.00-22.00 น. เลือกซื้อได้ตามชอบเลย
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นที่เราจองเอาไว้ ให้เดินไปโซนทานอาหาร (ดูได้ใน map) โซนนี้จะแบ่งเป็นห้องๆ แบบส่วนตัว และมีที่นั่งตามจำนวนที่เรา Book มา
ส่วนเรื่องอาหารบอกเลยว่า เกินคำว่าอิ่ม ไปเยอะเลย (555+) อย่างภาพนี้จะเป็นเซตเรียกน้ำย่อยเล็กๆ มีเนื้อแฮมชิ้นเล็กๆ มันหวาน เกาลัดสีทองหวานฉ่ำ ผัดผัก และน้ำส้มช็อต
หลังจากจบเซตเรียกน้ำย่อยเสร็จแล้ว พนักงานจะให้เราติ๊กเลือกรายการอาหารที่ต้องการประมาณ 4-5 อย่าง เราไป 2 คน ก็เลยติ๊กมาคนละแถว (เพื่อจะได้ลองทานทุกแบบ) อาหารหน้าตาดี รสชาติอร่อยมากๆ ค่ะ วัตถุดิบสดใหม่ การปรุงรสทำมาได้ดีสุดๆ ทุกจานเลย
ตามมาติดๆ ด้ววยไข่ตุ๋นเนื้อเนียนๆ รสชาติกลางๆ ด้านล่างเป็นกุ้งทอด จิ้มกินคู่เกลือก็อร่อย กินกับซอสใส่ไชเท้าขูดก็อร่อย
ปิดท้ายด้วยพุดดิ้งเนื้อเนียนนุ่ม หวานกลางๆ จานนี้รสชาติธรรมดา ไม่ได้หวือหวามากนัก พอเราทานมื้อเย็นเสร็จแล้วพนักงานจะให้เราจองโต๊ะมื้อเช้าไว้ล่วงหน้าอีกครั้ง
ทานเสร็จแล้วก็รอคิวแช่ออนเซนบ่อเปิดแบบ Private ให้ได้ฟิลแบบว่ามาเรียวกังกันสักหน่อย โดยห้องแช่ออนเซนจะอยู่ไม่ไกลกับโซนทานอาหารมากเท่าไหร่ โดยที่ด้านหน้าจะมีป้ายแขวนเอาไว้ ห้องไหนว่างจะหงายคำว่า "Vacant" ส่วนห้องไหนไม่ว่างจะหงายด้าน "Occupied" ถ้าเห็นห้องว่างก็เข้าไปได้เลย อย่าลืมพลิกป้ายด้วยนะ
ด้านในห้องเป็นเหมือนห้องน้ำหย่อมๆ มีโซนสำหรับเปลี่ยนชุด อ่างล้างหน้าที่มีข้าวของเตรียมไว้ครบครัน (แต่จะไม่มีพวกสบู่ ยาสระผม ถ้าต้องการใช้ให้เตรียมมาจากห้อง)
ช่วงประมาณ 22.00 น. บริเวณเดียวกันกับร้านขายของฝากจะมีร้านราเมงเปิดให้บริการด้วยละ ได้ฟิลกินราเมงยามค่ำคืนแบบชาวญี่ปุ่นสุดๆ ถ้วยราเมงขนาดกลางๆ ปริมาณไม่เยอะ กินคนเดียวได้สบายๆ รสชาติกลางๆ ไม่ได้อร่อยหวือหวามากนัก กินแล้วอุ่นท้องนอนหลับสบายดีเลย
แวะมาเติมความสดชื่นกันได้ที่ห้องกาแฟ ด้านในจะมีเครื่องชงกาแฟร้อน กาแฟเย็น นมจืด นมเปรี้ยว ไว้บริการแบบครบครัน ในห้องมีที่นั่งรับรองไว้ประมาณ 2-3 โต๊ะ โดยห้องกาแฟจะเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ดื่มกาแฟเสร็จแล้วก็มาต่อกันที่มื้อเช้า (กินอีกแล้วจ้า 555) ห้องอาหารมื้อเช้าที่เราได้จะแยกเป็นอีกห้องค่ะ เป็นห้องอาหารที่ถูกตกแต่งเป็นสไตล์ญี่ปุ่น ส่วนอาหารเช้าจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ เซตอาหารญี่ปุ่น และเซตอาหารเช้าแบบฝรั่ง เราเลือกมาทั้ง 2 เซต
เริ่มแรกด้วยเซตอาหารญี่ปุ่น มีรายละเอียดอาหารเยอะมาก รสชาติอาหารอร่อยดีเลยเชียวละ ถึงแม้แต่ละเสิร์ฟจะดูน้อยๆ แต่พอกินด้วยกันทั้งเซต มันอิ่มดีสุดๆ เลยค่ะ มีทั้งข้าว ซุป เนื้อปลา ของหมัก ปลาขาว ฯลฯ ซึ่งว่ากันว่าเซตอาหารญี่ปุ่นแบบนี้เป็นเซตอาหารที่ช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย เหมาะกับการเริ่มต้นวันที่ดี
ส่วนอีกเซตจะเป็นอาหารสไตล์ฝรั่ง จานหลักจะเป็นไส้กรอก แซลมอน มันบด เสริมด้วยเครื่องเคียงอีกหลากหลาย ทั้งเมนูอบชีส ซุปมั่นฝรั่ง ขนมปังชนิดต่างๆ และของหวานเป็นโยเกิร์ต
ขนมปัง มาพร้อมน้ำมันมะกอก เนื้อขนมปังอร่อยดีค่ะ
ปิดท้ายด้วยโยเกิร์ต สังเกตจากหลายๆ ที่พักมา คนญี่ปุ่นจะนิยมกินโยเกิร์ตกันในมื้อเช้ากันเป็นส่วนใหญ่เลยละ หรือนี่จะเป็นหนึ่งในเคล็ดลับสุขภาพดีของเขาด้วยนะ น่าสนใจสุดๆ
ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็ตระเตรียมความพร้อมก่อนเช็กเอาท์ หลังจากเช็กเอาท์เสร็จเรียบร้อยแล้วเราสามารถฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมแล้วไปเดินเที่ยวในบริเวณใกล้เคียงได้ด้วย
มีทั้ง Tokko no Yu น้ำพุร้อนที่เก่าแก่ที่สุดใน Izu เป็นบ่อขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ถูกจัดแสดงไว้อย่างดีเชียวละ มาถ่ายภาพตอนเช้าๆ แสงสวยมาก
ใกล้ๆ กับบ่อน้ำพุร้อน จะมีร้านขายไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟใส่วาซาบิ เป็นอีกประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดีเชียวละ ตัววาซาบิไม่ใช่แบบสำเร็จแต่เขาจะฝนจากต้น Canola กันแบบสดๆ เลย ซึ่งรสชาติจะไม่ฉุนเท่าวาซาบิสำเร็จรูป เป็นไอศกรีมที่รสชาติอร่อยไปอีกแบบ
สะพานคาเอเดะ (Kaedebashi) สะพานแดง ตรงนี้ถ้ามาช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยสุดๆ
สวนทางป่าไผ่ (Bamboo Grove) บรรยากาศเขียวขจี สงบดีสุดๆ จะมาเที่ยวตอนเช้าๆ หรือตอนค่ำๆ ก็สวยงามไม่ต่างกันเลย
วัดชูเซ็นจิ เป็นวัดขนาดกลางๆ ช่วงสายๆ จะมีทัวร์นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวกันเรื่อยๆ ตัววัดเองก็สวยงาม งานสถาปัตยกรรมของวัดญี่ปุ่นมีความเป็นเอกลักษณ์มากๆ เดินเที่ยวเสร็จแล้วก็ขึ้นรถบัสที่หน้าโรงแรมเพื่อกลับไปยังสถานี Shuzenji ได้เลยและนี่ก็เป็นรีวิว ยูไรโระ คิกุยะ (Yukairo Kikuya) เรียวกังย่านชุเซ็นจิอนเซ็น ที่เราหยิบยกมาฝากกัน รับรองได้เลยว่าหากได้ไปลองเข้าพักแล้วจะต้องรู้สึกประทับใจอย่างแน่นอน