เข้าสตรีมมิ่งทาง Netflix เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้วสำหรับภาพยนตร์แนวครอบครัวซึ้งกินใจ "หลานม่า" จากค่าย GDH ที่กวาดรายได้หลายร้อยล้านในเมืองไทย ก่อนที่จะโกกินเตอร์ไปไกลอีกหลายๆ ประเทศทั่วทั้งเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวัน ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ ลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม กัมพูชา เกาหลีใต้ รวมไปจนถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งกวาดรายได้รวมเหยียบหลักพันล้านโดยไม่ต้องสงสัยอย่างแน่นอน หลังจากดูหลานม่า เต็มเรื่อง ใน Netflix จบไปเลยอยากขอมารีวิวความประทับใจและชวนเพื่อนๆ คอหนังทุกท่านมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังเรื่องหลานม่า เพื่อส่งต่อ moment แสนประทับใจกันค่ะ
รายละเอียดภาพยนตร์หลานม่า (LAHN MAH)
- ชื่อเรื่อง: หลานม่า, How to Make Millions Before Grandma Dies; LAHN MAH, The Chinese Family
- แนวภาพยนตร์: ดราม่าครอบครัว
- ผู้กำกับ: พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์
- วันที่เข้าฉายครั้งแรก: 4 เมษายน 2567
- ช่องทางสตรีมมิ่ง: Netflix
- ความยาวภาพยนต์: 125 นาที
- นักแสดงนำ: อุษา เสมคำ (รับบท อาม่าเหม้งจู) พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล (รับบท เอ็ม) ต้นตะวัน ตันติเวชกุล (รับบท มุ่ย ลูกพี่ลูกน้องของเอ็ม) สฤญรัตน์ โทมัส (รับบท ซิว ลูกสาวคนรอง) สัญญา คุณากร รับบท กู๋เคี้ยง (ลูกชายคนโต) พงศธร จงวิลาส รับบท กู๋โส่ย (ลูกชายคนเล็ก)
Trailor หลานม่า (LAHN MAH)
เรื่องย่อ หลานม่า (LAHN MAH)
พื้นหลังเรื่องว่าด้วยครอบครัวของอาม่าเหม้งจู (อุษา เสมคำ) ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในห้องแถวเล็กๆ แค่เพียงคนเดียว
อาม่าเหม้งจูทำงานเลี้ยงชีพด้วยการขายโจ๊กในย่านตลาดแถวบ้าน
โดยอาม่ามีลูกทั้งหมด 3 คน ได้แก่ เคียง (รับบทโดย ดู๋ สัญญา) ลูกชายคนโต ซิว (รับบทโดย เจีย สฤญรัตน์)
ลูกสาวคนกลาง และโส่ย (รับบทโดย เผือก พงศธร) ลูกชายคนเล็ก
เหตุที่อาม่าต้องอาศัยอยู่คนเดียวเพราะลูกๆ ทั้ง 3
คนของเธอต้องแยกย้ายไปเติบโตและทำมาหาเลี้ยงชีพของตนเอง
ส่วนสามีของอาม่าเองก็เสียไปนานแล้ว
กว่าที่ทั้งครอบครัวจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งก็เป็นวันไหว้หลุมศพ
หรือวันสารทจีนที่ผู้เป็นแม่ตั้งใจเฝ้าคอยการกลับมารวมตัวของลูกๆ อย่างใจจดใจจ่อ
เรื่องเล่าคู่ขนานมากับ เอ็ม (บิวกิ้น พุฒิพงศ์)
ลูกชายคนเดียวของซิว ที่ตัดสินใจดรอปจากการเรียนมหา'ลัย
เพื่อมาทำอาชีพนักแคสเกมตามความฝัน แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่เป็นตามที่เอ็มคิดไว้
จากเดิมที่เคยบอกแม่ไว้ว่าจะหาเงินได้เดือนละหลักแสน
จะซื้อคอนโดอยู่และจะหาเงินมาเลี้ยงแม่ให้ได้ กลับกันทุกวันนี้เอ็มกลายเป็นวัยรุ่นกลางคนที่เรียนไม่จบและไม่สามารถทำงานแข่งกับใครๆ เขาได้ แต่ไอเดียการหาเงินมาดูแลตัวเองและครอบครัวของเอ็มก็ผุดขึ้นเมื่อเอ็มได้เจอกับ
มุ่ย (ตู ต้นตะวัน) ลูกพี่ลูกน้องที่เติบโตด้วยกันมาซึ่งได้รับมรดกก้อนใหญ่จากอากงที่มุ่ยทำหน้าที่เลี้ยงดูจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
นั่นจึงทำให้เอ็มสนใจที่จะเข้าไปดูแลอาม่าเหม้งจู
หลังจากที่แม่เล่าว่าอาม่าป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายและอาจจะอยู่ได้อีกไม่ถึง
1 ปี
เรื่องราวที่เรียบง่ายระหว่างอาม่าเหม้งจูและหลานเอ็ม
ที่ทั้งคู่มีอายุต่างกันมากกว่า 50 ปี
และต้องมาอาศัยอยู่ด้วยกันจึงเริ่มต้นขึ้น ทั้งความเชื่อ
ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แสนแตกต่างที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างได้เรียนรู้ระหว่างกัน
พร้อมๆ กับเส้นเรื่องอันแสนวุ่นวายระหว่าง กู๋เคี้ยง ซิว และกู๋โส่ย ลูกๆ
ของอาม่าทั้ง 3 คน
ที่มีเรื่องให้ต้องผิดใจกันได้ไม่เว้นวันอันเปรียบเสมือนปัญหาสามัญประจำบ้าน
เอ็มจะได้มรดกทั้งหมดของอาม่าหรือไม่?
เรื่องราวในครอบครัวของอาม่าเหม้งจูและลูกๆ จะจบลงอย่างไร
ติดตามชมเรื่องหลานม่า เต็มเรื่อง ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix
อัปเดตความปังของภาพยนตร์ "หลานม่า" ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล OSCAR
ขอบคุณภาพจาก Facebook GDH
ข่าวล่ามาแรงวันที่ 3 ตุลาคม 2567 ภาพยนตร์เรื่อง "หลานม่า" ถูกเสนอให้เป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทยเพื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม (97th Academy Awards - International Feature Film) ดีงามมากกก
รีวิว ภาพยนตร์ไทยชื่อดัง หลานม่า (LAHN MAH) จากค่าย GDH
ถ้าให้พูดถึงภาพรวมส่วนตัวเรามองว่าเรื่องหลานม่า
ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่มีเนื้อเรื่องแปลกใหม่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
เป็นพล็อตเรื่องแนวครอบครัวที่เราอาจเคยดูมาแล้วหลายต่อหลายหนหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของหลายๆ
คนด้วยซ้ำ ความรู้สึกต่อการรับชมเรื่อง "หลานม่า" ในมุมมองของเรามันจึงไม่ใช่การดูหนัง แต่เหมือนเรากำลังมารับรู้เรื่องราวของครอบครัวครอบครัวหนึ่งเสียมากกว่า
ทุกอย่างถูกเล่าออกมาอย่างเรียบง่าย
เป็นเส้นตรงที่แทบจะไม่มีการบิดพลิ้ว พลิกแพลง ให้มันดูพิเศษขึ้นหรือเหนือชั้นขึ้นแต่อย่างใด แต่มันทำให้เรา relate เข้ากับหลายๆ
ฉากได้อย่างน่าประหลาด
- พล็อตเรื่องหลานม่า
อย่างฉากที่ง่ายที่สุดแต่มันกลับทำให้เราเสียน้ำตา คือ ฉากที่อาม่าแต่งตัวสวยๆ
จนเอ็มยังต้องแซวว่าแต่งตัวสวยไปไหน รองเท้าก็ใส่คู่ใหม่เสียด้วย ซึ่งแท้จริงแล้วอาม่าไม่ได้ไปไหนเพียงแต่ใส่ชุดสวยๆ เพื่อรอลูกๆ
มาเยี่ยมในช่วงวันหยุดเท่านั้น มันทำให้เรามองเห็นภาพซ้อนของคุณยาย (ที่เสียไปแล้ว)
ของเราเองว่าท่านมักจะมีชุดสวยๆ ที่เก็บไว้ใส่ในวันสำคัญเท่านั้นเสมอ
เสื้อลูกไม้สีขาวสะอาดตา ผ้าถุงที่ทำจากผ้าไหมสีสวยและรองเท้าหนังสีดำ ซึ่งทุกวันนี้เรายังจำภาพคุณยายในชุดสวยๆ เหล่านั้นได้แบบขึ้นใจ
หรือการจดจำสัญญาไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อยของอาม่าที่ลูกหลานอาจลืมไปหมดแล้วว่าเคยพูดเอาไว้
แต่อาม่ายังคงรักษาสัญญาเหล่านั้นเอาไว้จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต
ซึ่งถ้าเรามองย้อนไปที่คนแก่ ผู้สูงอายุใกล้ๆ ตัว
จะเห็นได้เลยว่าพวกเขาเหล่านั้นจดจำสัญญาหรือเรื่องที่เคยพูดเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
- ตัวละคร / แคสติ้ง
แคสติ้งเรื่องนี้ทำได้กลมกล่อม ละมุนละไม ทุกอย่างดูเข้าถึงง่ายจริงๆ ค่ะ
- เริ่มตั้งแต่บทอาม่าเหล้งจู ที่รับบทโดยหญิงสูงวัยอายุเกือบ 80 ปีอย่างป้าแต๋ว ที่ไม่เคยผ่านการเล่นหนังมาก่อนเลยสักครั้งแต่กลับแสดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ ดูเป็นอาม่าที่ทั้งจู้จี้ ขี้บ่นแต่กระนั้นสายตาก็ยังเต็มไปด้วยความรัก ความเป็นห่วงในตัวลูกหลานของแกเสมอ
- เอ็ม หลานตัวแสบคู่กัดกับอาม่าที่รับบทโดยบิวกิ้น ซึ่งคาแรกเตอร์นหนังเรื่องหลานม่าบิวกิ้นใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นหรือไม่ก็ขายาวคู่กับรองเท้าแตะ ดูเป็นหลานที่มีอยู่ในชีวิตจริง บทการพูดใดๆ ก็ช่างไหลลื่นป็นธรรมชาติไปหมด เราชอบตอนที่เล่นคู่กันกับป้าแต๋วมากๆ ทุกอย่างเหมือนเรามาดูชีวิตของครอบครัวหนึ่งที่ไม่ใช่หนัง
- ส่วนกู๋เคี้ยงที่รับบทโดยคุณดู๋ เราว่าก็เข้าบทกับความเป็นลูกชายคนโตที่ดูหน้าตาฉลาดเป็นกรด เล่นหุ้นหาเงินได้มากมาย
- ซิว ลูกสาวคนรอง คาแรกเตอร์นี้เราชอบมากๆ เพราะมันดูเรียลจริงๆ ค่ะ ตัวเสื้อผ้า หน้าผม ฝ้า กระ จุดด่างดำต่างๆ คือมันมีครบหมด มันมีความเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่พยายามตรากตรำทำงานเพื่อเลี้ยงลูกและเจียดเวลาไปดูแม่ได้แบบเห็นภาพ
- กู๋โส่ย ส่วนนี้อาจจะด้วยภาพจำของคุณเผือก ที่เราเห็นหน้าค่าตาของแกมาในหนังหลายๆ เรื่อง มันเลยหลุดไปในโหมดภาพยนตร์มากกว่านักแสดงที่เล่นเป็นพี่น้องท่านอื่นๆ ไปหน่อย แต่คุณเผือกก็รับบทเป็นลูกชายคนสุดท้องที่เอาชีวิตตัวเองไม่ค่อยจะรอด มีหนี้สินและคาแรกเตอร์ขี้เมานิดๆ ติดอำ ติดเล่นได้ดี
- มุ่ย เป็นพยาบาลสาวที่แว่บๆ มาในบางช่วง แต่เราก็ชอบที่บทเรื่องนี้ไม่ทิ้งมุ่ยให้หายไปเลยหลังจากดูแลอากงคนแรกเสร็จไป แต่เรื่องยังหมุนบทไปให้มุ่ยได้ออกมาที่หน้าจออยู่เป็นระยะๆ
เรียกได้ว่าแคสติ้งทำมาได้น่าสนใจ ดูมีความเป็นครอบครัวชาวจีนจากรูปร่างหน้าตาของแต่ละคน และที่สำคัญเราว่าเขาเกลี่ยบทให้แต่ละคนได้ดี ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งหลุดไปจากเรื่อง
- ฉาก แสง สี
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ต้องออกปากชมเลยค่ะ เริ่มจากเรื่องฉากหลังไม่ว่าจะเป็นบ้านของแต่ละตัวละครที่มันดูไม่เวอร์วังมากเกินไป ดูสมฐานะ โดยเฉพาะบ้านของอาม่าที่มีความสมจริงสุดๆ เรามีญาติผู้ใหญ่ที่อาศัยในตึกแถวแบบเดียวกันนี้เหมือนกันค่ะ เฟอร์นิเจอร์ การจัดวางข้าวของเครื่องใช้ โทรทัศน์ เตียงนอน ที่นั่งต่างๆ มันดูสมจริงที่สุดไปเลย คล้ายกับว่าเอาบ้านของอาม่าสักคนมาถ่ายจริงๆ แบบนั้นแหละซึ่งมันดีมากเพราะมันทำให้เราอินเข้าไปในบ้านของอาม่าได้ดีสุดๆ ส่วนเรื่องแสง สี ของภาพยนตร์อาม่าเราก็ชอบมากค่ะ ภาพโดนย้อมเบาๆ ให้มีความอบอุ่นมากขึ้นในขณะเดียวกันก็แอบมีสีของความหม่นๆ อยู่นิดๆ
- เสื้อผ้า
เรื่องนี้ก็ดีอีก ชุดแต่ละชุดที่ตัวละครใส่มันก็คือชุดทั่วๆ ไปที่เราๆ ใส่ในชีวิตประจำวันเลยค่ะ ชุดอาม่าก็เป็นชุดออกโคร่งๆ เป็นชุดลูกไม้เข้าเช็ตกัน ชุดอยู่บ้านเป็นเสื้อยืด กางเกงขาสั้น ขาสามส่วน หรือถ้าเป็นลูกชายก็ใส่ขายาวทั่วไป มันก็เหมือนที่ลุง ป้า น้า อา ของเราสวมใส่กันอยู่จริงๆ
- เพลง / Sound ประกอบ
เรื่องนี้ไม่ต้องพูดเลยค่ะ 5555 😂😂 ดนตรีขึ้นทุกครั้งพานจะพาเราน้ำตาไหลได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นแค่เสียงดนตรีเปล่าๆ ที่มันเหมือนดนตรีในโฆษณาไทยประกันชีวิต คือ มันเศร้า มันฟังแล้วเสียดไปถึงหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงประกอบภาพยนต์หลานม่า สวยงามเสมอ (Ever-Forever) ที่ร้องโดยคุณบิวกิ้น คือ เหมือนเพลงประหารเลยค่ะ พอเสียงดนตรีขึ้นปั๊บน้ำตาย้อยปุ๊บ
สรุปโดยรวมแล้วนั้น เรามองว่าภาพยนตร์เรื่อง "หลานม่า" ไม่ใช่หนังที่มีพล็อตเรื่องวิเศษแตกต่างแต่อย่างใด วิธีการเล่าเรื่องก็เรียบง่ายไม่พลิกแพลง ไม่ตลบตะแลงอะไรเลย แต่มันเป็นภาพยนตร์ที่เรียบง่าย..แต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยความหมาย พร้อมทำให้เราได้หวนคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในครอบครัวของเราเอง ทำให้เราได้ลองเข้าใจมุมความคิดของผู้สูงอายุที่เราอาจไม่เคยเข้าใจมาก่อนว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น ทำแบบนั้น เป็นภาพยนตร์ที่สามารถคุยกับใจของเราได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ อ่านรีวิวจบแล้วอยากดูต่อ ไปดูกันได้เลยวันนี้ทาง Netflix จ้า
ขอบคุณภาพประกอบบทความจาก Facebook GDH
Tags:
Entertainment