[รีวิว] ร้านอาหารอิซากายะ Obanzai Kitaro โอบันไซ คิทาโร่ ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ฉบับรสกับข้าวฝีมือแม่

วันนี้วันดีเพราะป็นวันที่เราตะลุยกินกันแบบดิบเถื่อนมาก (555+) จบวันแบบ complete ที่ร้านอิซากายะ กรุงเทพฯ ชื่อดังอย่างร้าน โอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro) ที่โดดเด่นขึ้นชื่อว่าเป็นร้านโอเด้งกึ่งอิซากายะ แอบซ่อนตัวในในวอยขนาดเล็กจิ๋วอย่างซอยสุขุมวิท 41 ที่ใช้เวลาเดินทางจาก BTS สถานีพร้อมพงษ์ไม่เกิน 15 นาทีก็พร้อมอิ่มอร่อยกับมื้ออาหารอันแสนอบอุ่น สไตล์รสมือแม่(ชาวญีปุ่น) กันได้แล้วล่ะ

เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจ

• วิธีเดินทางมาร้าน โอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro)
• เมนูอาหารร้าน โอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro)
• รีวิวอาหารร้านโอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro)

วิธีเดินทางมาร้าน โอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro)

เมื่อลงสถานี BTS พร้อมพงษ์แล้วให้เดินออกที่ทางออก 3 จากนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆ จนถึงซอยสุขุมวิท 41 เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าเข้าซอยไปไม่เกิน 200 เมตรจะเห็นซอยเล็กๆ อยู่ทางขวามือ จากนั้นให้เดินตรงเข้าไปได้เลย ร้านโอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro) จะอาคารพาณิชย์ร้านเล็กๆ หน้าร้านตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นสวยงามเป็นเอกลักษณ์ (ร้านตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับโรงแรม 41 Suite Bangkok) แจ้งเพิ่มเติมอีกนิดว่าทางร้าน โอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro) เขาจะไม่มีที่จอดรถ อาจจะต้องหาที่จอดแถวๆ ปากซอยหรือริมถนนในซอยกันเองนะ

ร้าน โอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro) ร้านโอเด้งกึ่งอิซากายะ Vibe ดีเหมือนอยู่ที่ญี่ปุ่น

ทันทีที่เห็นหน้าร้านก็รู้สึกชอบ Vibe ทันทีเชียวค่ะ ดูเป็นร้านอาหารญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น เราเดินทางมาถึงก่อนเวลาเปิดประมาณ 10 นาทีก็พบว่ามีกลุ่มลุกค้ามารอร้านเปิดอยู่แล้ว ร้านโอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro) เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 17.00 น. ไปจนถึงตีหนึ่ง (เพราะเป็นร้านกึ่งอิซากายะ) ทั้งนี้สามารถเข้าไปเช็กวันเปิด-ปิดร้านที่หน้าเพจ Facebook ของทางร้านก่อนเข้าไปเพื่อความชัวร์

พอได้เวลา 5 โมงเย็นกว่าๆ พนักงานก็เดินมาตั้งป้ายหน้าร้านพร้อให้ลูกค้าไปชิมเมนูอาหารอร่อยๆ กัน ทั้งนี้ทางร้าน โอบันไซ คิทาโร่ เขาเปิดบริการให้จองคิวด้วยค่ะโดยสามารถโทรเข้าไปที่ร้านเพื่อจองคิว (066-114-3855) ส่วนคนที่ไม่ได้สำรองคิวมาล่วงหน้าถ้าโต๊ะว่างก็สามารถเข้าไปรับประทานอาหารได้ แต่ถ้าโต๊ะเต็มก็จะต้องรอคิวจนโต๊ะว่าง ส่วนตัวเราไปแบบ Walk in โดยไปตั้งแต่ช่วงร้านเปิดเลยก็ได้โต๊ะพอดี แต่บอกเลยว่าโต๊ะเต็มไวมากๆ เพราะฉะนั้นแล้วจองโต๊ะมาก่อนจะดีที่สุด

 

ที่นั่งของทางร้าน โอบันไซ คิทาโร่ จะมีทั้งหมด 2 ชั้นค่ะ ชั้นแรกจะเป็นแบบโต๊ะบาร์หันหน้าเข้าห้องครัว ที่เราจะมองเห็นเหล่าแม่ครัวปรุงอาหารกันแบบสดๆ จานต่อจาน ส่วนชั้นบนจะเป็นที่นั่งทานอย่างเดียวโดยพนักงานจะคอยบริการรับออเดอร์และเสิร์ฟอาหารอยู่ตลอดเวลา

คุณแม่เจ้าของร้านชาวญี่ปุ่น ควบคุมทุกเมนูอาหาร

ส่วนตัวเราชอบความมีดีเทลของครัวมาก เป็นการจัดเรียงร้านที่ไม่ได้เน้นความ perfect แต่มันมีความเป็นครัวจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหม้อ กระทะ ที่ขูด ที่สับ สารพัดชนิดแขวนเรียงรายอยู่บนผนัง ถ้วย จาน ชามที่คว่ำอยู่พร้อมหยิบใช้ได้อย่างสะดวก เป็นบรรยากาศที่ทำให้เรารู้สึกไม่เกร็ง

 

อาวุธขั้นต้นเมื่อเข้าร้านมีจาน ขาม ตะเกียบ ถ้วย รวมถึงน้ำจิ้มและซอส

เข้าร้านอาหารญี่ปุ่นก็ขาดไม่ได้เลยคือผ้าเช็ดมือ

เมนูอาหารร้าน โอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro)

ร้านนี้เป็นร้านโอเด้งกึ่งอิซากายะ เมนูที่คนไทยต่างมุ่งหน้าตั้งใจมากินก็จะต้องเป็นโอเด้งรสชาติญี่ปุ่นแท้ๆ นอกไปจากนี้ก็มีเมนูอาหารอื่นๆ อีกมากมายทั้งสไตล์ปิ้ง ย่าง ต้ม ผัด และทอด ส่วนเครื่องดื่มก็มีทั้งชา น้ำอัดลม น้ำโซดาและเครื่องดื่มซาบซ่าสำหรับคุณผู้ใหญ่

• หมูผัดขิง 250 บาท
• เกี๊ยวซ่า 50 บาท
• มันปูย่าง 280 บาท
• ไข่ปลาเมนไทโกะย่าง 280 บาท
• แฮมย่าง 180 บาท
• มันฝรั่งบดเจียในกระทะใส่ปลาหมึกดองเค็ม 150 บาท
• หมูห่อผักย่าง 190 บาท
• ปลาหมึกหมักเกลือย่างสาเก 180 บาท
• ปลาเส้นย่างสาเก 120 บาท
• ปลาฮอกเกะย่าง 270 บาท
• ปลาหิมะย่าง 380บาท
• ไก่ทอดครึ่งตัว 350 บาท
• อกไก่ชุบแป้งทอด 250 บาท
• หอยนางรมชุบแป้งทอด 280 บาท
• รากโกโบทอด 150 บาท
• ผัดมะระญี่ปุ่นใส่ไข่กับหมูสไลด์ 220 บาท
• สลัดเป็ดใส่ต้นหอมไทยและญี่ปุ่นราดซอส 200 บาท
• ด้านวาซาบิดอง 130 บาท
• ครีบปลากระเบนย่าง 150 บาท
• ครีมชีสเนื้อปลามากุโรดอง 160 บาท
• ซาชิมิลิ้นปลาวาฬ 500 บาท
• ข้าวผัดไข่เมนไทโกะ 280 บาท
• ไข่ตุ๋นไส่ใส้อ่อนวัว 250 บาท
• โซบะเย็นเส้นชาเขียว 150 บาท

ส่วนโอเด้งของร้านโอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro) บอกเลยว่ามาแบบจัดเต็ม ชอบชิ้นไหนเลือกชิ้นนั้นได้เลย

• หัวไชเท้า 70 บาท
• ไข่ญี่ปุ่น 70 บาท
• ลูกชิ้นปลาเส้น 70 บาท
• ลูกชิ้นเนื้อไก่บด 70 บาท
• ไส้กรอก 70 บาท
• ฟองเต้าหู้ห่อแป้งโมจิ 70 บาท
• เส้นชิราทากิ (เส้นบุก) 70 บาท
• มะเขือเทศต้มในน้ำโอเด้ง 180 บาท
• ไขมันส่วนท้องของปลาวาฬกับเต้าหู้ทอด 300 บาท
• ลิ้นปลาวาฬกับผักมิซึนะ 300 บาท

ส่วนเครื่องดื่มมีทั้งเครื่องดื่มทั่วๆ ไปทั้งชาเขียว น้ำอัดลม น้ำเปล่า น้ำโซดา รวมไปจนกระทั่งเครื่องดื่มสำหรับผู้ใหญ่ก็มีให้เลือกเยอะเลยล่ะ

รีวิวอาหารร้านโอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro)

เมนูแรกที่ยังไงก็ต้องสั่งเพราะเป็นของขึ้นชื่อของทางร้านคือ โอเด้ง เราสั่งมาทั้งหมด 2 ถ้วยเพราะอยากลองทานหลายๆ อย่าง ทั้งไข่ต้ม เส้นบุก ปลาเส้น หัวไชเท้า ลูกชิ้นเนื้อไก่บด ฟองเต้าหู้ห่อไส้แป้งโมจิ ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าน้ำซุปดีมากกกกกกกกกกกกกกกกก เป็นน้ำซุปที่ไม่ได้เค็มนำและมีความใสๆ แบบทั่วไปที่เราเคยกินโอเด้งจากร้านอาหารหรือร้านสะดวกซื้ออื่นๆ มาก่อน 

หัวไชเท้าชิ้นใหญ่มาก

ลูกชิ้นเนื้อไก่บดอร่อยดีค่ะ เนื้อนุ่มๆ หวานเนื้อไก่ เข้ากับน้ำซุปโอเด้งได้ดี

โอเด้งกินคู่กับมัสตาร์ดที่ผสมวาซาบิมาด้วย

น้ำซุปโอเด้งจะมีความหวานของผักนำมาแบบกลมกล่อมตามมาด้วยรสเค็มๆ ของเบสปลาในน้ำซุปผสานเข้ากับกลิ่นหอมๆ ของทุกส่วนผสมในหม้อโอเด้งมันเลยลงตัวไปหมด ซุปใสแต่รสแน่น ซดได้เพลินมากๆ ส่วนเรื่องรสชาติเครื่องเคียงต่างๆ ในโอเด้งเราว่าเป็นรสชาติมาตรฐาน ของที่ใช้ทุกอย่างคือสดใหม่ ปริมาณเสิร์ฟได้ค่อนข้างเยอะคุ้มราคาเลยล่ะ

ถัดไปเป็นข้าวผัดไข่ใส่เมนไทโกะ (280 บาท) จานนี้ดีมากกก ข้าวญี่ปุ่นเม็ดอ้วนกลมผัดมากับไข่ไก่ ด้านบนโปะด้วยเมนไทโกะและสาหร่าย ข้าวผัดของร้านจะไม่ได้แห้งร่วนเหมือนข้าวผัดไข่สไตล์คนไทย ตัวข้าวมีความชุ่มชื้นเคลือบด้วยไข่แบบทั่วๆ 

ความชอบแรกเลยคือกลิ่นซอสสไตล์ญี่ปุ่นที่หอมอ่อนๆ ผสานกับรสชาติหวานๆ เค็มๆ คลุกเคล้าเข้ากันกับไข่เมนไทโกะและสาหร่ายลงตัวมากกกกก จานนี้เราว่าเด็กๆ ก็สามารถกินได้ กินแล้วคิดถึงข่าวผัดไข่ที่แม่เคยทำให้ที่บ้านเลยจริงๆ จานนี้แนะนำเลย

ถัดมาเป็นเมนูปลาอิวาชิ (Iwashi) ย่างเกลือ (280 บาท) ซึ่งถ้าให้เรียกกันแบบเข้าใจง่ายปลาอิวาชิที่ว่าก็คือปลาซารดีนที่เรามักจะกินกันประจำในปลากระป๋องล่ะแต่เรามักจะไม่ค่อยได้รสชาติชัดๆ ของน้องเท่าไหร่เพราะปลาซาร์ดีนในปลากระป๋องผ่านกรรมวิธีต่างๆ มามากมายทั้งยังถูกแช่ในน้ำซอสมาตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต 

แต่สำหรับปลาซาร์ดีนย่างเกลือจานนี้ทางร้านแนะนำเพราะมีปลาสดเข้าใหม่ ซึ่งก็บอกเลยว่าเนื้อแน่น อร่อยมากจริงๆ ด้านนอกจะมีความเค็มนำเพราะเป็นปลาย่างเกลือค่ะ ด้านในเนื้อแน่นและหวานรู้เลยว่าปลาสดจริงๆ บีบน้ำเลม่อนเพิ่มลงไป กินคู่กับหัวไชเท้าขูดช่วยเบรกรสความเค็มได้ดี

ปิดท้ายมื้ออร่อยที่ร้านอิซากายะนี้ด้วยสไตล์นักกินของแทร่ (😂😂) ด้วยของหวานล้างปากเป็นไอศกรีมชาเขียว ถั่วแดงกวนและวาราบิโมจิ (130 บาท) สำหรับของหวานเราว่าไม่ได้หวือหวามากค่ะ ไอศกรีมชาเขียวไม่ได้เข้มข้นมาก วาราบิโมจิเนื้อหนุบกลางๆ คลุกผงชาเขียวรสเข้มๆ ราดด้วยซอสน้ำตาลทรายแดงรสหวานๆ กินเข้ากันดี

ปิดท้ายมื้อนี้ที่ร้านโอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro) อยู่ที่ 1,530.- บาท (มี Vat 7% และค่า
Service Charge 10%) ถ้าถามเราว่าราคาแรงไหม? ก็อยู่ในระดับกลางๆ ไม่แพงมากเกินไป คุณภาพ ปริมาณอาหารที่ได้นับว่าสมเหตุ สมผล ส่วนรสชาติก็ต้องยกให้เลยว่าดี มีความกลมกล่อม อร่อยลงตัว รสชาติแตกต่างไปจากร้านอาหารญี่ปุ่นอื่นๆ ที่เราเคยกินในประเทศไทยที่บางครั้งเขาก็จะปรับเปลี่ยนรสให้เข้าปากคนไทยมากขึ้นมาแล้ว แต่ของร้านโอบันไซ คิทาโร่ (Obanzai Kitaro) ที่เขาจะนำเสนอรสชาติความเป็นอาหารญี่ปุ่นออกมาได้อย่างเด่นชัด ซึ่งนี่ก็นับเป็นประสบการณ์อาหารที่ดีสำหรับเราเลยล่ะได้กินอาหารญี่ปุ่นที่ปรุงโดยคนญี่ปุ่นจริงๆ โดยที่ไม่ต้องบินลัดฟ้าไปต่างแดน